วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

10 สายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลก


สุนัขถือได้เป็นสัตว์ที่แสนรู้อันดับต้นๆ ในบรรดาสัตว์ประเภทต่างๆ และในวันนี้พี่ปัดมี 10 อันดับสายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลกมาฝากจ๊ะ โดยวัดจากการที่สุนัขสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำสั่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
อันดับ 1 : Border Collie

ลักษณะนิสัยขี้เล่น ร่าเริง เป็นมิตร มีความสามารถในการเรียนรู้สูง ประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าต่างๆ เช่น เสียง สิ่งเคลื่อนไหว และกลิ่น


อันดับ 2 : Poodle

เสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้อยู่ที่ ฉลาด รู้ภาษา ร่าเริง ช่างประจบ



อันดับ 3 : German Shepherd

ลักษณะนิสัยกระตือรือร้น ตื่นตัว กล้าหาญ ร่าเริง เชื่อฟัง กระหายที่จะเรียนรู้และฉลาดมาก มักถูกใช้ต้อนแกะ เฝ้ายาม กิจกรรมต่างๆ ของตำรวจ นำทางคนตาบอด แกะรอยค้นหา


อันดับ 4 : Golden Retriever

ลักษณะนิสัยเป็นมิตร สุภาพ ใจดี ซื่อสัตย์ มีความสามารถพิเศษในการจดจำ ง่ายต่อการฝึกฝน กระฉับกระเฉง



อันดับ 5 : Doberman Pinscher

ลักษณะนิสัยฉลาด กล้าหาญ ตื่นตัว เชื่อฟัง คอยระวังภัยตลอดเวลา จัดว่าเป็นสุนัขอารักขาที่ดีที่สุดในโลก



อันดับ 6 : Shetland Sheepdog

ลักษณะนิสัยฉลาด มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ รักเด็ก และมีสัญชาตญาณที่ดีด้วย



อันดับ 7 : Labrador Retriever

ลักษณะนิสัยฉลาด ใจดี เป็นมิตร สุภาพ ไม่ก้าวร้าว ตอบสนองรวดเร็ว ปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้ง่าย สามารถฝึกความสามารถพิเศษอื่นๆ ได้มากมาย เช่น ค้นหาผู้ประสบภัย , ค้นหายาเสพติด ฯลฯ



อันดับ 8 : Papillon

ลักษณะนิสับฉลาด แข็งแรง กล้าหาญ รักเจ้าของ ขี้เล่น กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งรอบข้าง เป็นมิตร และพร้อมที่จะปกป้องเจ้าของจากผู้บุกรุก



อันดับ 9 : Rottweiler

ลัษณะนิสัยเป็นสายพันธุ์ที่มีสัญชาตญาณที่ต้องเอาตัวรอด แต่ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ให้เป็นสุนัขที่มีความฉลาด ชอบการสัมผัสอย่างทะนุถนอม และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หากได้รับการฝึกฝนที่ดีจะเป็นสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่ง ใจเย็น เป็นทั้งเพื่อนและยามเฝ้าบ้านที่ดี



อันดับ 10 : Australian Cattle Dog

เป็นสุนัขสายพันธุ์ใหม่ ที่มีต้นกำเนิดมาจากการทดลองผสมข้ามพันธุ์ มีความอดทนเหมือนสุนัขพื้นเมือง มีความสามารถทางปศุสัตว์ ซื่อสัตย์ และฉลาด


ที่มา: http://blog.eduzones.com/rangsit/9282

สุนัข สัตว์เลี้ยง (เศรษฐกิจ) เพื่อนรัก 10 อันดับ พันธุ์ฮิตยอดนิยม

จากสัตว์ใช้งานในอดีต บทบาทของ "สุนัข " ในปัจจุบันนี้ กลายเป็นสัตว์สี่เท้าที่มีคุณค่ามากกว่านั้น !!

เพราะจุดประสงค์ของคนเลี้ยงสุนัขเวลานี้คือ "ความเป็นเพื่อน " ที่ต่างเชื่อว่าเจ้าตูบเหล่านี้มีมอบให้ด้วยใจจริง ไม่แสแสร้ง พร้อมมอบความจงรักภักดีต่อผู้มีพระคุณ ขณะที่บางคนเลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ เบื่อก็เลิก แต่บางคนก็เลี้ยงดูจริงจัง จนกว่าจะตายกันไปข้าง

ด้วยความนิยมที่เริ่มบูมสุดๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สุนัขเป็นต้นกำเนิดทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งวงการอาหารสุนัข โรงพยาบาลสัตว์ ศูนย์ฝึก และธุรกิจบริการสำหรับคนรักสุนัข อย่างเช่น บริการกรูมมิ่ง เสริมสวยตัดขน บริการนวดแผนโบราณ และสปาสุนัข ค่าบริการ ครั้งละ 300-500 บาท หรือแม้แต่บรรดาเครื่องประดับของแต่งกายสำหรับสุนัขที่มีราคาตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลักหมื่น ต่างก็สร้างผลกำไรให้แก่ผู้ประกอบการมานักต่อนัก พร้อมทั้งช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้เลี้ยงมีสีสันอย่างดี

โดยเฉพาะ "การซื้อขายลูกสุนัข " เห็นได้ชัดว่าในเวลาหลายปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้เลี้ยงจำนวนไม่น้อยเริ่มแปรผันสู่ฟาร์มเพาะพันธุ์มืออาชีพ คาดว่ามีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ถือได้ว่าเป็นสินค้ามีชีวิตที่ตลาดต้องการ

ในการซื้อขายสุนัข ตลาดค้าเจ้าตูบที่รู้จักกันดีก็คือ ตลาดนัดสวนจตุจักร ซึ่งนับเป็นตลาดบนดินที่มีการซื้อขายสุนัขอย่างคึกคักมากที่สุด มีทั้งแบบมีประวัติ หรือมีใบเพ็ดดีกรี ที่แสดงต้นกำเนิดว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร และใครเป็นบรีดเดอร์ โดยมากเจ้าของฟาร์มจะมาตั้งร้านเอง ปล่อยให้สุนัขวิ่งเล่น นอนเล่นในกรง โชว์ความน่ารักแก่ผู้ผ่านไปมาอย่างดี บางร้านติดเครื่องปรับอากาศพร้อมจัดให้ร้านดูสะอาดน่าเชื่อถือ

แต่บางร้านก็ไม่เป็นเช่นนั้น...มีหน้าร้านแค่เพียงตะกร้าใบพอเหมาะ ปล่อยให้สุนัขนั่งหงอยทำตาละห้อยอยู่ในนั้น โชว์ความโดดเดี่ยวน่าสงสาร ควรแก่การซื้อไปเลี้ยง พ่อค้าแม่ค้าต่างหอบตะกร้านั่งๆ เดินๆ ประกาศขายอยู่ตามซอกซอย สุนัขส่วนใหญ่ราคาไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท แต่ประเภทนี้ตกเย็นใกล้ตลาดปิด ค่าตัวจะเปลี่ยนไป เหลือแค่ตัวละ 200-300 บาท แม้แต่ตามตลาดซื้อขายตามนิตยสารต่างๆ มีให้เห็นมากมายไม่แพ้กัน

ราคาสุนัข มีตั้งแต่หลักพันไปจนสูงถึงหลักหมื่นหลักแสน แล้วแต่สายพันธุ์และสายเลือด ยิ่งบรรพบุรุษหรือพ่อแม่สุนัขเคยครองแชมป์งานประกวด หรือสุนัขตัวนั้นมีลักษณะดีตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ครองรางวัล BIS หรือ Best In Show ระดับประเทศ หรือระดับโลก จนโด่งดังมีชื่อในวงการมากเท่าไหร่ ค่าตัวก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปเท่านั้น

แต่บรรดาเจ้าตูบซึ่งมีมากกว่า 400 สายพันธุ์ทั่วโลก มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักในประเทศไทย มีการพัฒนาสายพันธุ์จริงจังเพื่อให้ได้มาตรฐานทัดเทียมในระดับสากลโดยการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาพัฒนาในวงการ

จากสถิติการจดทะเบียนสุนัขของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) The Kennel Club Of Thailand ซึ่งเป็นสมาคมผู้ให้การรับรองและจดทะเบียนสุนัขสมาคมเดียวในไทยที่ได้รับการรับรองระดับสากล รับรองโดย FCI (Federation Cynologique Internationale) พบว่าในปีที่ผ่านมามีสุนัขเข้าจดทะเบียนมากกว่า 20,000 ตัว

ล่าสุด ในปี 2547 มีสุนัขที่เข้ารับการจดทะเบียนกับสมาคมมากที่สุดใน 10 อันดับแรก ได้แก่

1. ปอมเมอเรเนี่ยน (Pomeranian) สุนัขในกลุ่ม Toy Group


ปอมเมอเรเนี่ยน มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง ขึ้นจากอันดับ 3 ในปีก่อน ด้วยความเล็กกะทัดรัด ขนฟูดูสวยงาม ใบหน้าแหลมเล็ก หลายคนหลงใหลในความน่ารักของสุนัขพันธุ์นี้

ลักษณะโดยทั่วไป มีความสูงโดยเฉลี่ยไม่เกินฟุต หรือประมาณ 20 เซนติเมตร หัวกลม ใบหน้ามีส่วนคล้ายสุนัขจิ้งจอก ปากเรียวแหลม ส่วนหัวและใบหน้ามีขนสั้น ตากลมโตและโปนเล็กน้อย หูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยมตั้งตรงและชิดกัน จมูกดำกลม ขนยาวฟูฟ่องทั่วลำตัว ขนสีดำ โกโก้ แดง ส้ม ขาว เหลือง บางตัวมีหลายสีปนกัน ขนทั้งตัวจะปกคลุมด้วยขนยาว ดก ฝ่าเท้านิ่ม ขนหางเป็นพวงโค้งเป็นวงกลมออกด้านข้าง

นอกจากความเล็กน่ารักแล้ว ความฉลาด ซื่อตรงและร่าเริง ปฏิภาณไหวพริบดี และขี้ประจบของปอมเมอเรเนี่ยน ยังเป็นจุดเด่นที่ทำให้เจ้าของต่างหลงใหล แต่ขณะเดียวกันความเล็กของสุนัขพันธุ์นี้จึงมักมีผลต่อการขยายพันธุ์ที่ค่อนข้างลำบาก ให้ลูกน้อย

ราคาจำหน่าย ระดับเลี้ยงเล่น 8,000-20,000 บาท ระดับประกวด 20,000 บาท ขึ้นไป


2. โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever) สุนัขในกลุ่ม Sporting Group

โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มามากกว่า 200 ปี ในอเมริกา เป็นสุนัขขนาดกลาง ตัวผู้สูงราว 23-24 นิ้ว หนักประมาณ 64-70 ปอนด์ ตัวเมีย สูง 21-23 นิ้ว น้ำหนัก 60-70 ปอนด์ มีสีหลายระดับสี มักจะเป็นสีออกครีมถึงสีเหลืองทอง จนถึงกึ่งเข้มแดงมะฮอกกานี เป็นสุนัขที่มีลักษณะหัวกว้าง และมีช่วงปากที่แข็งแรง ตาสีน้ำตาล หูค่อนข้างใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม ปรกลงมาด้านข้าง มีขน 2 แบบ คือเรียบกับเป็นลอน ขาหน้าตรงแข็งแรง เท้ากลมคล้ายเท้าแมว ลักษณะหางชี้ตรงระดับเดียวกับหลัง ขนบริเวณหางจะยาวและหนา

นอกจากความสวยของขนที่มันวาว สวยงาม ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับความนิยมมาก โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ยังได้รับสมญานามว่า "หมาใจดี" บ่อยครั้งที่ภาพความผูกพันระหว่างเจ้าตูบโกลเด้น กับเด็กๆ มักมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง นั่นเพราะมีลักษณะนิสัยเป็นมิตร และสุภาพเป็นเลิศ ใจดี ซื่อสัตย์ มีความสามารถพิเศษในการจดจำ ง่ายต่อการฝึกฝน กระฉับกระเฉง และคาบสิ่งของได้ดี ในอดีตจึงมักใช้งานเพื่อหานกที่ถูกยิงตกนำมาให้เจ้าของ

โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เคยเป็นสุนัขยอดนิยม มีผู้เข้าขอจดทะเบียนมากเป็นอันดับ 1 ในปีก่อน แต่ปีล่าสุดนี้กลับถูกสุนัขพันธุ์เล็กแซงหน้าไปเสียแล้ว

ราคาจำหน่ายปัจจุบัน สุนัขระดับประกวด ประมาณ 15,000 บาท ขึ้นไป สุนัขเลี้ยงเล่น 6,000 - 15,000 บาท ระดับทั่วไป หรือสุนัขบ้าน เริ่มต้นที่ 3,000 บาท


3. ชิสุ (Shih Tsu) สุนัขในกลุ่ม Toy Group



ชิสุ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ได้ชื่อว่า "สุนัขพันธุ์ราชสีห์" เพราะมีขนแผงคอเหมือนสิงโต อีกทั้งท่าทางการเดินหรือเคลื่อนไหวที่สง่างาม เดินตรงเชิดหน้าคอเหยียดและมีพวงหางขนยาวจะปกคลุมลงบนหลังชัดเจน ในอดีตจึงเป็นสุนัขที่เลี้ยงกันในราชสำนักของจักรพรรดิ นับเป็นสิ่งสูงค่าสำหรับสามัญชน เป็นสุนัขที่มีชนชั้น

ชิสุ เมื่อโตเต็มที่น้ำหนักไม่เกิน 18 ปอนด์ สูงประมาณ 9 -10.5 นิ้ว รูปร่างเล็กแต่มีขนยาว เป็นขนสองชั้น หนา ยาวตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อยปกคลุมลำตัว ขนบนหัวควรผูกรวบให้เรียบร้อย ป้องกันดวงตา ขนที่ก้นและเท้าต้องตัดให้เรียบร้อยเช่นกันเพื่อความสะอาด สุนัขพันธุ์นี้ต้องการการแปรงขนทุกวัน ผู้เลี้ยงต้องมีเวลาในการแปรงขนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

ลักษณะของชิสุที่ดี ควรมีลักษณะขนยาว ไม่ม้วนหยิก สีของขนเป็นสีผสมกันของสีดำ น้ำตาล ขาว มีสีขาวเป็นสีพื้น ส่วนกะโหลกกว้างอย่างสมดุล ตากลมโต นัยน์ตาสีดำ หรือจะเป็นสีน้ำตาลสีตับ แววตาร่าเริงแจ่มใสและเป็นมิตรต่อทุกสิ่ง ส่วนปากสั้นยาวไม่เกิน 1 นิ้ว และไม่มีรอยย่นของผิวหนังรอบปาก ปากไม่แหลม คางไม่ยื่น คอควรตั้งตรงยาวได้สัดส่วนกับลำตัว ลักษณะลำตัวของชิสุต้องมีความยาวของลำตัวมากกว่าความสูงเล็กน้อย อกใหญ่ ลึก หางจะต้องโค้งตั้งขึ้นมาบนหลัง ไม่ห้อยลง มีขนขึ้นเป็นพวงสวยงาม


แม้ ชิสุ จะเป็นสุนัขขนาดเล็ก แต่ก็ได้ชื่อว่า "เล็กแต่อึด" หากมีสุขภาพดีจะเป็นสัตว์ที่มีความทรหดอดทนสูง มีความแข็งแรงดุจสุนัขใช้งาน แต่ข้อดีของสุนัขพันธุ์ชิสุที่สร้างเสน่ห์อย่างดีก็คือ ฉลาด เป็นมิตร มีเสน่ห์ ไม่ดุร้าย ไม่เจ้าอารมณ์ เหมาะสมกับบ้านทุกชนิด

จากสิถิติที่ผ่านมา ชิสุ เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุอาจเพราะปัจจุบันผู้นิยมเลี้ยงสุนัขมีที่อยู่อาศัยที่เล็กลง ส่งผลให้สุนัขพันธุ์เล็กเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปด้วย และด้วยการขยายพันธุ์ที่ง่ายกว่า ชิสุจึงมาแรงแซงสุนัขพันธุ์เล็กพันธุ์อื่น รวมถึงลักษณะขนและหน้าตาสร้างความเพลิดเพลินในการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบแต่งตัวให้สุนัข แต่คงไม่เหมาะนักสำหรับเจ้าของที่ไม่มีเวลา

ราคาจำหน่าย ระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป ระดับเลี้ยงเล่น 3,500-15,000 บาท ทั่วไป เริ่มต้นที่ 2,500 บาท


4. ปั๊ก (Pug) จัดอยู่ในกลุ่ม Toy Group

สุนัขพันธุ์ตัวเล็กหน้าย่น มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน มีประวัติยาวนานกว่า 2,500 ปี เป็นสุนัขที่นิยมมากของชาวพุทธในสมัยโบราณ ด้วยมีความเชื่อที่ว่า ปั๊ก เป็นสัตว์เลี้ยงมงคล เพราะลักษณะรอยย่นของใบหน้ามีความหมายตามความเชื่อที่ดี เป็นสิริมงคลต่อผู้เลี้ยง ปัจจุบันเป็นที่แพร่หลายทั่วโลก

ปั๊ก เป็นสุนัขรักเด็ก ร่าเริง กระตือรือร้น มีน้ำหนักไม่เกิน 9 กิโลกรัม สูงไม่เกินฟุต มีลักษณะใบหน้าสีดำเหมือนใส่หน้ากาก ขนสั้นละเอียดนุ่ม ลำตัวมีกล้ามเนื้อ ลักษณะทั่วไป กลม ใหญ่ จมูกสั้น ปากสั้น กระหม่อมไม่โค้ง มีรอยย่นที่หัว ปาก แก้มนิ่ม เท้ากลม ฝ่าเท้าแผ่ มีกล้ามเนื้อที่ขาทั้ง 4 ชัดเจน หางม้วนเป็นเกลียวอยู่บนแผ่นหลังตรงสะโพก

แต่สิ่งที่ผู้เลี้ยงต้องระวังไม่ให้อ้วนจนเกินไป อีกทั้งต้องดูแลเรื่องอากาศเนื่องจากเป็นสุนัขที่มีโพรงจมูกสั้น อาจมีปัญหาเรื่องการหายใจ

ราคาจำหน่ายทั่วไปเริ่มต้นที่ 4,500 บาท ระดับประกวด 12,000 บาท ขึ้นไป


5.ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky) จัดอยู่ในกลุ่ม Working Group

สุนัขลากเลื่อนที่มีท่วงท่าสง่างาม มีถิ่นกำเนิดจากเอเชียตอนเหนือ มีความอดทนแข็งแรงดีเลิศ อดีตเป็นสุนัขใช้งานลากเลื่อนในเมืองหนาว นับเป็นสัตว์ที่ปรับตัวเก่ง ใจดี ไม่ก้าวร้าว

ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่มีขนสองชั้น สีพื้นเป็นสีน้ำตาล ดำ เทา แต่ใบหน้าต้องมีสีขาวเท่านั้น ขอบตาเป็นสีดำ ขนสั้นตรงฟู แน่น หัวมีขนาดปานกลาง ดูสมส่วนกับขนาดลำตัว ใบหูตั้งตรง รูปตาเรียว หางฟูพอง มักจะโค้งเป็นพวงขึ้น บนหลังคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก ต้องการออกกำลังกายเป็นหลัก

จุดเด่นของสุนัขพันธุ์นี้คือ มีความอดทนสูงมาก ทำงานได้ดังหุ่นยนต์ รักเจ้านาย ครอบครัว หรือแม้แต่สุนัขด้วยกันเอง สามารถปรับตัวให้เข้าได้กับสภาพอากาศ วิ่งเร็วมาก สามารถเป็นสุนัขเฝ้ายามที่ดี แต่มักทำตัวเป็นจ่าฝูง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เลี้ยงที่มีความกระฉับกระเฉง

ราคาจำหน่าย ระดับเลี้ยงเล่นทั่วไป ประมาณ 8,000-15,000 บาท ระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป



6. ร็อตต์ไวเลอร์ (Rottweller) สุนัขในกลุ่ม Working Group

สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี มีสีดำ มีแต้มด่างสีน้ำตาลเด่นชัด บริเวณขอบตา ปาก หน้าอก ขาท่อนล่าง และใต้ฐานของหาง ขนสั้น เป็นสุนัขที่มีกล้ามเนื้อชัดเจน ดูสมส่วน ใบหูปรก นิยมตัดหางให้สั้น

สุนัขพันธุ์ร็อตต์ไวเลอร์ ที่ตกเป็นข่าวบ่อยครั้งด้วยความดุร้าย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่มาจากสัญชาตญาณสัตว์ที่ต้องเอาตัวรอดตั้งแต่อดีต มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฐานะสุนัขนักล่าและสุนัขเฝ้ายาม แต่ร็อตต์ไวเลอร์ในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่มีความฉลาด ชอบการสัมผัสอย่างทะนุถนอม และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หากได้รับการฝึกฝนที่ดี จะเป็นสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่ง ใจเย็น เป็นทั้งเพื่อนและยามที่ดีของครอบครัว

ด้วยลักษณะภายนอก ความแข็งแรง ความฉลาดของสุนัขพันธุ์นี้ เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เพราะมีพื้นที่ให้สุนัขออกกำลังกายได้มากกว่า แต่ก่อนเลือกซื้อ ผู้เลี้ยงควรตัดสินใจให้รอบคอบก่อนว่าเหมาะกับตนหรือไม่ ศึกษาสายพันธุ์ที่ดีเพราะอาจกลายเป็นสุนัขที่ก้าวร้าวเกินควบคุม


ราคาจำหน่ายลูกสุนัข ระดับประกวด 10,000 บาท ขึ้นไป ระดับเลี้ยงเล่น 4,000-10,000 บาท


7.บูลล์ด็อก (Bulldog) สุนัขในกลุ่ม Non - Sporting Group

เห็นรูปร่างตันๆ กำยำ ดูแข็งแรงอย่างนี้ แต่เป็นที่โปรดปรานของผู้เลี้ยงสุนัขพอสมควร มีถิ่นกำเนิดจากประเทศกรีก ในอดีตเป็นสุนัขที่ใช้ต่อสู้กับวัวซึ่งถือเป็นกีฬาชนิดหนึ่งในสมัยนั้น แต่ต่อมากีฬาสู้วัวถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จึงเกิดการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีเลือดนักสู้ลดลง จนกลายเป็นสุนัขที่กล้าหาญแต่วางใจได้ ไม่ดุร้ายเหมือนรูปร่าง

บูลล์ด็อก มีน้ำหนัก 25 กิโลกรัม สูงเต็มที่เพียงฟุตเศษ ลักษณะเด่นคือหัวกลม มีปากและบริเวณใบหน้าย่น ห้อย ขนเกรียนสั้นตรงและเรียบ นิ้วเท้าเวลายืนเหมือนยกขึ้น ขาหน้าตรง เวลายืนแล้วจะกางออกเล็กน้อย หางสั้น โดยมากจะเป็นสีเดียวทั้งตัว แต่มีสีดำที่ใบหน้า ปาก หน้าอก แต่ตอนนี้นิยมสีน้ำตาลลูกวัว ผู้เลี้ยงอาจต้องทำใจไว้ด้วยว่า ตัดสินใจเลี้ยงสุนัขที่นอนกรน และต้องระวังเรื่องอากาศร้อนเป็นพิเศษ

ราคาจำหน่ายระดับสุนัขเลี้ยงทั่วไป เริ่มต้นที่ 10,000 บาท หากเป็นบูลล์ด็อกระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป




8. ยอร์กไชร์เทอร์เรีย(Yorkshire Terrier) สุนัขในกลุ่ม Toy Group

สุนัขตัวน้อย ขนยาว เส้นบาง มันวาวสลวย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ถือว่าเป็นสุนัขสวยงามมาก เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตชีวา รักเจ้าของ ขี้ประจบ สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตสังคมเล็กๆ เช่นในอพาร์ตเม้นต์ได้ดี

ลักษณะทั่วไป สี มี 2 สีบนตัว สีน้ำตาลทองจะมีอยู่บนใบหน้า อก ท้อง และบริเวณปลายเท้า เส้นขนจะมีสีดำน้ำเงินที่โคนไล่ลงมาถึงตอนกลาง และจะมีสีน้ำตาลทองที่ส่วนปลายหัว ขนข้างจะมีขนาดเล็ก และเรียบไม่นูนกลม ปากแหลมยาวสมส่วน จมูกจะมีสีดำสนิท หูตั้งเป็นรูปตัววี มีขนสั้นๆ สีทองปกคลุม ขนยาวตรงปกคลุมทั้งตัว เท้าค่อนข้างกลมมีเล็บเท้าสีดำ ขาหน้าจะเหยียดตรง ขาหลังมองจากด้านข้างจะโค้งลงที่เข่าเล็กน้อย หางตัดสั้น
สุนัขพันธุ์นี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา เพราะต้องดูแลเรื่องขนเป็นพิเศษ เป็นสุนัขที่ให้ลูกยาก




ราคาจำหน่าย ระดับเลี้ยงเล่นทั่วไป ประมาณ 8,000 - 20,000 บาท มากกว่านั้นเป็นสุนัขในระดับประกวด

9. บีเกิ้ล (Beagle) สุนัขในกลุ่ม Hound Group



สุนัขล่ากระต่ายในอดีต มีหูที่ยาวปรกลง มีทั้งพันธุ์ธรรมดา มีความสูงประมาณ 13-15 นิ้ว หนัก 18-20 ปอนด์ และพันธุ์อลิซาเบธ บีเกิ้ล (Elisabeth beagle) มีความสูงไม่เกิน 12 นิ้ว มีน้ำหนักไม่เกิน 20 ปอนด์

บีเกิ้ล มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ เป็นสุนัขรักสันติ รักเด็ก ไม่เพียงเป็นสุนัขล่าสัตว์อย่างกระต่ายในอดีต ในหลายร้อยปีก่อนบีเกิ้ลยังถูกนายพรานควบคุมเป็นฝูง เพื่อนำไปล่าหมาป่า กวาง แต่ในระยะหลังใช้บีเกิ้ลเป็นสุนัขคาบนกที่เจ้าของล่าได้ เนื่องจากบีเกิ้ลสืบสายพันธุ์มาจากสุนัขดมกลิ่น ประสาทในการรับกลิ่นดีเยี่ยม

แต่สำหรับผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ คงไม่ดีแน่หากหวังจะใช้เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เพราะความเป็นสุนัขสังคม ไม่ชอบยึดอยู่กับสิ่งใดเพียงสิ่งเดียว อาจทำให้บีเกิ้ลหงุดหงิดได้ง่าย บีเกิ้ลจึงเหมาะที่จะเลี้ยงไว้เพื่อสร้างมิตรภาพกับบุลคลในครอบครัวมากกว่า

ลักษณะทั่วไปของบีเกิ้ล มักมีขนสามสีบนตัว คือ สีขาว สีดำ และน้ำตาล สีที่อกโดยมากเป็นสีขาว ส่วนสีดำกับสีน้ำตาลนั้นจะอยู่บนลำตัว และแผ่นหลังด้านใต้ท้องก็จะเป็นสีขาวเช่นกัน หน้าผากจะตั้งชัดเจน ใบหูยาวปรกลง ขนสั้นตรง หางยาวปานกลาง ค่อนข้างตรงชี้ขึ้น ขนาดกะทัดรัด รูปร่างแข็งแรง

ราคาจำหน่าย ระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป ระดับเลี้ยงเล่น ประมาณ 10,000-15,000 บาท


10. ชิ วา วา (พันธุ์ขนเรียบ),(Chihuahua smooth coat) สุนัขในกลุ่ม Toy Group


ยังคงครองอันดับ 10 อย่างอยู่ตัว ตั้งแต่ ปี 2545 เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก ขนาดพกพา ตาโต ถิ่นกำเนิดมาจากประเทศเม็กซิโก อดีตเป็นสัตว์ที่เป็นอาหารและถูกบูชายัญ มีสองสายพันธุ์คือ พันธุ์ขนเรียบและพันธุ์ขนยาว

ชิ วา วา มีความสูงไม่เกิน 5 นิ้ว มีน้ำหนักเฉลี่ย 0.9 - 2.7 กิโลกรัม จัดว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่เล็กที่สุดในโลก มีทั้งสีขาว สีน้ำตาลอ่อน สีทราย สีดำ อาจมีสีเดียวอย่างแดงน้ำตาล ทอง หรือสลับขาวน้ำตาล หัว หน้าผากต้องกลมโค้งเป็นรูปแอปเปิ้ล หูตั้ง ปากสั้นแหลม ขนสั้น ถ้าเป็นพันธุ์ขนยาวจะไม่หยิกม้วน

สุนัขพันธุ์นี้หลายคนต่างหลงใหลเพราะเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ มีเสน่ห์ ขี้ประจบ เป็นสุนัขเฝ้าระวัง เตือนภัยได้ดี เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่ไม่มาก แต่ไม่ชอบอากาศเย็น

ราคาจำหน่าย ทั่วไปเริ่มต้นที่ 4,000-10,000 บาท ระดับประกวด ราคา 10,000 บาท ขึ้นไป

...ส่วนสุนัขพันธุ์ไทยอย่าง ไทยหลังอานและไทยบางแก้ว ก็เริ่มยกอันดับตัวเองขึ้นมาเช่นกัน ปัจจุบัน ไทยหลังอานอยู่ในอับดับที่ 13 ส่วนไทยบางแก้ว อยู่ในอันดับที่ 17

ทั้งนี้ ยังมีสุนัขอีกจำนวนมากที่อยู่นอกการจดทะเบียน...เพียงมองเห็นด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าจำนวนสุนัขทั้งไทยและต่างประเทศมีจำนวนมากแค่ไหน

แต่ทว่าความสำคัญของผู้เพาะพันธุ์ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องปริมาณ เพราะสายพันธุ์ที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ สุขภาพดีเท่านั้น จึงจะทำให้วงการสุนัขอยู่รอด


หน้า 48
เทคโนโลยีชาวบ้าน
วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ปีที่ 17 ฉบับที่ 352


ที่มา http://www.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=0508010248&srcday=2005/02/01&search=no

Chaokao Junior

หลังจาก เฉาก๊วย จากไปไม่นาน ฉันเองก็เพิ่งมารู้ว่า มอมแมม มีลูกของ เฉาก๊วยอยู่ในท้อง ....เป็นเรื่องตลก แต่จริง เพราะตอนนั้น เฉาก๊วย ไม่ปล่อยให้ใครเข้าใกล้ มอมแมม เลย 555....

แล้วก้อมาถึงวันนที่มอมแมมตกลูก วันนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว ฉันและลูกเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ได้ยินเสียงร้องเล็กๆ ดีใจมากเลย เราก็หาที่มาของเสียงนั้น..ว๊าววววว...ลูกหมาตัวเล็กๆ แดงๆ ขนบางๆ สีดำสนิท กำลังตะกายพื้น มอมแมมพยายามเลียตามเนื้อตามตัวของลูกมัน แล้วมันก็วิ่งวนไปวนมา แล้วก็กลับมานอน สักพัก มันก็มีอาการเบ่งท้องอีก เราก็ยืนดูกัน ช่วยให้กำลังใจ ...โอ้ว...ลูกหมาตัวน้อยๆ ค่อยๆ ออกมาอีกตัวหนึ่งแล้ว ตัวนี้สีขาวปนน้ำตาล ...แล้วอีก 1 ตัวก็ตามมา ..ตัวนี้เหมือนมอมแมม สีน้ำตาล...ทั้งหมดรวม 3 ตัว

ฉันถ่ายรูปไว้ในมือถือแล้วยังไม่ได้เอารูปออกมา สรุปสุดท้าย มือถือตกน้ำ พังไปหมดเลย...เศร้า... ชื่อที่เราตั้งให้ ตัวสีดำเหมือนพ่อมันชื่อ เฉาก๊วย (เหตุเพราะเราคิดถึงพ่อมันแล้วมันก็เหมือนพ่อที่สุด) ตัวที่ 2 ชื่อ มูมู่ และตัวสุดท้ายชื่อ มีมี่....มีมี่โชคดีมีคนมาขอไปเลี้ยง เดี๋ยวนี้ตัวใหญ่จ้ำม่ำมาก ส่วนมูมู่โชคร้าย มันตายตั้งแต่ได้สัก 2 อาทิตย์ ไม่ยอมกินนมและน้ำ แล้วสุดท้ายมันก้อค่อยๆหายใจแผ่วไป จนหลับสนิทในที่สุด

ส่วนเฉาก๊วย เรามีรูปมาฝากก่อน ตอนมันตัวเท่าโทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวนี้สูง ผอม เพรียว อ่อ...ลืมบอกไป เฉาก๊วย จูเนียร์ เป็นผู้หญิง ไม่ล่ำเท่าพ่อ แต่สูงแบบเดียวกับพ่อ แล้วขนก็ไม่ดำสนิททั้งตัว มีสีขาวแซมไว้หน่อยๆ ตอนนี้อายุประมาณ 6 เดือนกว่า วันหลังจะเอารูปมาฝาก เฉาก๊วย จูเนียร์ มีนิสัยหลายอย่างเหมือนพ่อ เช่น เวลาทำผิดแล้วโดนดุ จะล้มตัวลงนอนหงายทำเหมือนแกล้งตาย พอเราหัวเราะกันเค้าก็จะผงกหัวขึ้นมาดู ถ้าเราไม่ได้ดุอะไรต่อ เค้าก็จะลุกขึ้นมาแล้วเข้ามาคลอเคลีย มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณลูกๆ เดินไปซื้อของกันหน้าปากซอย แล้วสั่งเฉาก๊วยกับมอมแมมว่าให้อยู่บ้าน มอมแมมรับคำแต่โดยดี เดินไปนอนหมอบรออยู่ในบ้าน เฉาก๊วยเห็นแม่ทำก็ทำมั่ง เด็กๆเห็นว่ามันเข้าบ้านไปหมดแล้ว ก็เดินไปคุยไปกันทั้ง 2 คน พอสักพักหันหลังกลับมา เห็นเฉาก๊วยตามมาแว๊บๆๆ มันแอบค่ะ แอบตาต้นไม้ ตามเสา 555 นี่ล่ะดูความฉลาดของเค้านะคะ แล้วพอเด็กๆ ซื้อของกันเสร็จกลับมา ก้อเห็นเค้านอนหมอบอยู่ที่บ้านแล้ว...เป็นแบบนี้เสมอเลย


และข่าวดีค่า...อีกไม่นาน มอมแมมจะมีลูกครอกที่ 2 แล้วค่ะ รอดูตอนต่อไปนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

My Dog is name 'Chaokao' (เฉาก๊วย)

"เฉาก๊วย" เป็นสุนัขวัด หรือหมาวัด ที่มีคนเอามาทิ้งไว้ที่แห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ประมาณเดือนเมษายน 2549 คราวนั้นลูกชายทั้งสองได้ไปบวชภาคฤดูร้อนที่นั่น และต้องจำวัดอยู่ประมาณ 1 เดือน หลังจากบวชได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ในวันหยุดฉันได้ไปใส่บาตรที่วัด ลูกเณรทั้งสองได้มาแอบกระซิบว่ามีคนเอาลูกหมามาทิ้งไว้ สวยมาก สีดำสนิท ขนปุย เขาอยากให้เอาไปเลี้ยง ด้วยความที่เป็นชอบสุนัขเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยไม่รีรอที่จะตามไปดู พอได้เห็นก็รู้สึกถูกชะตาทันที เป็นลูกหมาสีดำ เท้าทั้งสี่ใหญ่ ดูเหมือนเป็นสุนัขผสม พันธุ์สวย มันร้องเสียงดังตลอดเวลาที่ไม่เห็นคน จนพระ เณรเดือดร้อนต้องคอยอยู่ใกล้ๆมัน (มันคงร้ายตั้งแต่เล็กๆ เลย) แล้วพอไปจอหลวงพี่ท่านหนึ่งถามว่า "โยมจะเอามันไปมั้ย" ก็เลยต้องเอามันกลับบ้านมาด้วย ลูกๆทั้งสองดีใจมาก ด้วยความที่ตัวมันดำสนิท ก็ขนานนามมันว่า "เฉาก๊วย" นี่คือจุดเริ่มต้นของเจ้าหมาน้อยตัวแสบ
เฉาก๊วยได้กลับมาอยู่ที่บ้านกับฉัน ขณะนั้นลูกๆทั้งสองยังไม่อาจมาอยู่ด้วยได้ เพราะติดภารกิจการเป็นสามเณรอยู่ที่วัด พอเฉาก๊วยมาอยู่ด้วยช่วงนั้นันยังต้องไปทำงานประจำอยู่ ก็สั่งกรงไว้ คิดว่าเค้าคงตัวไม่ใหญ่นัก คืนแรก "เฉาก๊วย" โชคดี ได้เข้าไปนอนในห้องนอนกับฉันด้วย เหตุเพราะตัวมันยังเล็กมาก แล้วมันคอยร้องถ้าเอาไว้นอกบ้าน ...จำเป็นจริงๆ... พอตอนเช้าได้กรงมาก็นำมันใส่กรงไว้ สั่งเสียเสร็จเรียบร้อยว่า อย่าส่งเสียงดังนะ มันเอียงคอมองเหมือนรับทรายว่า "คับผม" แล้วฉันก็ไปทำงาน ...ที่ไหนได้ ตกเย็น น้องข้างบ้านมาฟ้องว่า "พี่ๆ เฉาก๊วย" มันร้องไม่หยุดเลยน่ะ (น้องเค้าจะนอนตอนกลางวัน) ตายๆๆๆๆ แล้วจะเลี้ยงกันไปได้มั้ยเนี่ย เป็นอยู่แบบนี้ประมาณ 1 อาทิตย์ เฉาก๊วยถึงยอมอยู่ในกรงแล้วรอฉันกลับมาโดยไม่ร้อง (เพราะพี่ๆข้างบ้านไปคอยบอกมันว่า "ถ้าร้องจะจับไปกินนะ...555 ไม่รู้มันฟังรู้เรื่องมั้ย แต่มันได้ผล)
หลังจากนั้นเฉาก๊วยก็เริ่มโตขึ้นมาเรื่อยๆ กลางคืนก็เอาเข้าไปนอนในบ้าน ถ้าวันไหนมันหนีไปเที่ยวนอกบ้านตัวเหมือนมา ก็จะอดเข้าบ้าน มันจะคอยทำหน้าละห้อย แล้วนอนหมอบเศร้าอยู่หน้าประตูบ้าน วีรกรรมของ เฉาก๊วย" ตัวแสบยังไม่หมด พอเริ่มเป็นหนุ่มก็อยากออกไปเที่ยวนอกบ้านตอนกลางคืน ประตูเข้าบ้านจะมีกระจกเป็นช่องๆ อยู่ ด้วยความที่มันเห็นเพื่อนของมันอยู่ข้างนอกแล้วอยากออกไป มันเริ่มเคาะกระจก...เคาะ...แล้วก็ "เพร้งงงง!!" เสียงกระกแตกพร้อมกับร่างของ เฉาก๊วย มุดหายออกไปนอกบ้านเหลือไว้เพียงเศษกระจกแตกทิ้งไว้ให้ฉันต้องทำความสะอาด....
เฉาก๊วยเปรียบเสมือนน้องชายคนเล็กของบ้าน แต่ขาใหญ่ที่สุดในบ้าน วันนั้นลูกชายคนโตกลับบ้านค่ำมาก ผิดเวลา หลังทานอาหารเย็นกัน ฉันก้ออบรมสั่งสอนเขา เขาก้อมหน้ารับผิดแต่โดยดี เฉาก๊วยเห็นดังนั้น ก้อลุกขึ้นยืนกอดฉันแล้วดันๆ ฉันให้ออกห่างลูกชาย ตอนแรกฉันก็แปลกใจ นึกว่า เฉาก๊วย หิวจะกินอาหารอีก ก็เลยมันว่า รอเดี๋ยว มันนั่งลงหลังจากฉันหยุดบ่นเจ้าลูกชายตัวดี แต่พอหันกลับไปอบรมเขาต่อ เฉาก๊วยก็ทำอีก มันทำอยู่แบบนั้นอีกสัก 2-3 รอบ เรา 3 คนเลย "อ๋อ" ว่ามันไม่ต้องการให้พี่โดนว่า ก็เลยได้แต่นั่งหัวเราะกันไป...
เฉาก๊วยเปรียบเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของบ้านเราเวลามันทำผิดแล้วถูกดุ มันจะล้มตัวลงนอนหงายนิ่งๆ เหมือนมันตาย 555 เป็นเรื่องขำขัน ของที่บ้านมาก มันซนมาก เวลาอยากออกไปข้างนอก มันจะขุดๆๆ ดินริ้วรั้วจนหนีออกไป แล้วเวลากลับมาก็มาขอเข้าทางประตูบ้าน รั้วสูงๆ มันก็กะโดดข้าม จนสุดท้ายก็จนปัญญาที่จะห้ามมัน
และแล้ววันหนึ่ง เราก็ได้สมาชิกใหม่มาเพิ่ม เช่นเดียวกัน ไปเจอที่วัดเหมือนเดิม สีน้ำตาล เพศเมีย คราวนี้เงียบๆ ไม่ส่งเสียงร้อง จนเราคิดว่า หมาจะมีเป็นใบ้มั้ยเนี่ย พากลับมาบ้าน เฉาก๊วยสนใจมาก แต่จะคอยหวง ไม่ให้เข้าใกล้ฉัน อ่อ ลืมบอกไป ชื่อของมันคือ "มอมแมม" ตัวมันมีสีน้ำตาล หลังอาน และที่สำคัญ ปากมอม ....บ้านเรามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา มีเรื่องสนุกสนานมากมายเกี่ยวกับหมาน้อยทั้ง 2 ตัว จนวันหนึ่ง.....

จนวันหนึ่ง เราต้องย้ายบ้าน และมอมแมมเริ่มเป็นสาว เริ่มมีหนุ่มๆ มาที่บ้านมากมาย เฉาก๊วยด้วยความที่มันก็เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว เลยหวงมอมแมมมาก (ประมาณสมภารกินไก่วัด) ก็ไล่เห่า ไล่กัดกับตัวอื่นๆที่แวะมา จนเสียงดังแทบทั้งวัน ทั้งคืน หลังจากที่มอมแมไม่ได้ตกเป็นของใครนอกจากเฉาก๊วยเท่านั้น...555
แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในวันหนึ่ง....ฉันกลับจากทำงานเหมือนตามปกติ ก็แปลกใจที่ปกติทั้ง เฉาก๊วย และมอมแม จะต้องออกมารอรับที่หน้าประตูบ้าน แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรมาก พอขับรถเข้าไปก็เห็น เฉาก๊วย นอนอยู่หน้าประตู ก็นึกในใจว่า คงนอนหลับ แต่พอขับรถเข้าไปใกล้ๆ ซึ่งปกติมันจะต้องลุกขึ้นมาแล้ววิ่งเข้ามา....ทุกอย่างเงียบสนิท... ฉันใจหายวาบ...ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่า อย่าให้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลย....พอฉันจอดรถค่อยๆ เดินเข้าไปหามัน มันยังคงนอนนิ่ง ไม่ไหวติง ซึ่งผิดนิสัยของมัน...สิ่งที่ฉันคิดไว้ก็เกิดขึ้นจริงๆ...เฉาก๊วย นอนน้ำลายฟูมปาก ตัวแข็งทื่อ ...นาทีนั้นฉันเข่าอ่อน น้ำตามาจากไหนไม่รู้ เข้าไปลูบตัวมันแล้วเรียกมัน "เฉาก๊วย ตื่นสิลูก...ตื่นสิ" มอมแมมที่วนเวียนอยู่ข้างๆก็เหมือนจะบอกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนใจร้ายวางยาเบื่อ เฉาก๊วยซึ่งชอบกิน กินไม่เลือก คงมีใครสักคนเอาอะไรให้มันกิน ....ฉันร้องไห้ เรียกมัน ลูกๆ ก้อได้แต่ปลอบใจฉัน ..... เราฝังมันไว้หลังบ้านใต้ต้นลำใย.... หลับให้สบายนะลูกรัก ชาตินี้ลูกชดใช้กรรมหมดแล้ว ขอให้เจ้าไปสบายนะ....เฉาก๊วย